ทำไม Location Intelligence จึงแก้ปัญหาในท้องถิ่นได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ

13 มีนาคม 2568 16:19 น.

ความสำเร็จในการดูแลและบริหารจัดการท้องถิ่น นอกจากเกิดจากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว อีกส่วนสำคัญก็มาจากการบริหารจัดการด้านข้อมูลจนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ ซึ่งในยุคที่ทุกอย่างก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีนวัตกรรมหนึ่งที่ช่วยให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้ง่ายกว่าที่เคยเป็นมา นั่นก็คือการยกระดับท้องถิ่นด้วย Location Intelligence

 

Location Intelligence คืออะไร

 

Location Intelligence คือหนึ่งความสามารถของเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่แปลงข้อมูลตำแหน่งแบบปกติให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึก รวมทั้งยังจัดการและทำความเข้าใจข้อมูลที่ซับซ้อนได้ โดยจะเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพในลักษณะชั้นของข้อมูลลงใน Smart map หรือ Dashboard เช่น แผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลประชากร การขนส่ง การจราจร สภาพอากาศ ที่อยู่อาศัย สาธารณสุข เครือข่ายโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อนำ Location Intelligence มาบูรณาการรวมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะอื่น ๆ จะสามารถเข้าใจ วิเคราะห์ คาดการณ์ กำหนดวิธีการ และแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามาดูกันว่า แล้วทำไมถึงบอกว่า Location Intelligence สามารถช่วยแก้ปัญหาในท้องถิ่นได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ

 

1. Location Intelligence ทำให้เห็นข้อมูลเรียลไทม์

 

การพัฒนาข้อมูลเชิงลึกพื้นที่ผสานกับ Big Data และ AI จนเกิดเป็น Location Intelligence  ทำให้เห็นภาพรวมของข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ จึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการติดตามการเปลี่ยนแปลงและวิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์  ซึ่งมักจะแสดงผล Location Intelligence ให้อยู่ในรูปแบบ Smart map หรือ Dashboard ที่เข้าใจง่าย ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่เทคนิค หรือผู้บริหารก็เข้าใจได้ง่ายและเห็นข้อมูลเป็นภาพเดียวกัน ส่งผลให้ลดเวลาประสานงาน และแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างทันท่วงที

 

2. Location Intelligence สามารถคาดการณ์และป้องกันปัญหาได้

 

สามารถหนึ่งของการสร้าง Location Intelligence ก็คือการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้แม่นยำ เนื่องจากเป็นการนำข้อมูลเชิงลึกของพื้นที่ Big Data และเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างเช่น AI, Machine Learning มาบูรณาการจนเกิดเป็นชั้นข้อมูลหลายร้อยหลายพันชั้นทั้งข้อมูลอดีตและปัจจุบัน จึงสามารถวิเคราะห์ คาดการณ์เหตุการณ์และแนวโน้มต่าง ๆ ได้ โดยจะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถวางแผนรับมือ แจ้งเตือนประชาชน ออกแบบนโยบาย กำหนดแนวทางการป้องกัน รวมถึงหาวิธีชะลอหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างทันท่วงที

 

3. Location Intelligence สามารถบอกได้ว่าควรจะพัฒนาไปในทิศทางใด

 

Location Intelligence ไม่ใช่แผนที่ที่เอาไว้ดูตำแหน่งและนำทางแบบธรรมดา แต่ Location Intelligence มีความสามารถในการทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน เข้าใจบริบทและสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์เหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ จึงช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ได้ว่าควรจะออกแบบกลยุทธ์หรือพัฒนาต่อยอดสิ่งต่าง ๆ อย่างไร ซึ่งเอื้อต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนบริหารและจัดการท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

 

เทศบาลนครยะลา หนึ่งในท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Location Intelligence

 

คงจะได้คำตอบกันไปแล้วว่า ทำไม Location Intelligence จึงแก้ปัญหาในท้องถิ่นได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ คราวนี้เพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น เรามาดูตัวอย่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นำ Location Intelligence มาใช้ในการบริหารจัดการท้องถิ่นจนประสบความสำเร็จกันครับ นั่นก็คือ เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา

 

เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา ต้องการแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้รวดเร็วและฉับไวมากขึ้น นายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่เทศบาลจึงค้นหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในจุดนี้ จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท เบดร็อค อนาไลติกส์ จำกัด (Bedrock) พัฒนา Location Intelligence ขึ้นมา โดยใช้ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จากเทคโนโลยีการสำรวจที่ทันสมัย ทั้งโดรน, Mobile Mapping Systems และเทคโนโลยีระบบการนำเข้าข้อมูล มาผสานกับ Big Data จากเทศบาลนครยะลา Bedrock และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนเกิดเป็น Location Intelligence อันชาญฉลาดหลายร้อยชั้นข้อมูล พร้อมต่อยอดพัฒนาออกมาเป็น 5 ระบบด้วยกัน ได้แก่ แพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง (City Digital Data Platform: CDDP), ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ, ระบบภาษีอัจฉริยะ (Smart Municipal Tax), ระบบรับแจ้งเหตุและจัดการปัญหาออนไลน์ (Bellme) และระบบขออนุญาตและควบคุมอาคารอัจฉริยะ (Smart Building Permit) เพื่อใช้ในการคาดการณ์ วางแผน ติดตามผล และแก้ปัญหาให้เมือง

 

เทศบาลนครยะลา หนึ่งในท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Location Intelligence

 

หลังจากนำ Location Intelligence ที่พัฒนาต่อยอดจนเป็น 5 ระบบมาใช้แบบบูรณาการกัน พบว่าเวลาในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนทำได้รวดเร็วและฉับไวขึ้น จากเดิมเวลาที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหา 1 เรื่อง (พฤษภาคม พ.ศ. 2566) จะต้องใช้เวลาเฉลี่ย 9 วัน 7 ชั่วโมง แต่หลังนำระบบมาใช้เพียง 1 เดือน (มิถุนายน พ.ศ. 2566) เทศบาลใช้เวลาเพียง 1 วัน 4 ชั่วโมงต่อการแก้ปัญหา 1 เรื่องเท่านั้น

 

อีกทั้งยังสามารถลดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ และยังนำมาใช้ในการประเมินความเร่งด่วนในการซ่อมบำรุง การจัดสรรงบประมาณ การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต การวางแผนรับมือภัยพิบัติ และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย

 

 

หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคุณ ต้องการที่จะพัฒนา Location Intelligence ให้ประสบความสำเร็จอย่างเทศบาลนครยะลา สามารถติดต่อ Bedrock เพื่อร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นของคุณตามโจทย์ที่มอบหมายได้เลยที่อีเมล: contact@bedrockanalytics.ai หรือ  Line หรือ Facebook

Loading...