จุดความร้อน (Hotspot) คืออะไร ทำไมถึงบอกได้ว่ามีไฟไหม้หรือร้อนมาก

14 มีนาคม 2568 02:17 น.

ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา หรือช่วงไฟป่าแรง ๆ คำว่า “จุดความร้อน (Hotspot)” ได้มีการหยิกยกมารายงานกันในทุกวัน จุดความร้อนนี้คืออะไร ทำไมถึงบ่งบอกได้ว่าพิกัดใดร้อนมาก พื้นที่ไหนมีไฟไหม้ ตรงไหนอันตรายต่อสุขภาพ มาไขความกระจ่างกัน

 

1. จุดความร้อน (Hotspot) คืออะไร ?

 

  จุดความร้อน หรือ Hotspot คือ จุดที่ตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งได้มาจากดาวเทียมที่ถูกพัฒนาระบบเซนเซอร์ให้มองเห็นค่าความร้อนบนผิวโลก เช่น ดาวเทียม Terra ดาวเทียม Aqua ดาวเทียม Suomi-NPP ดาวเทียม NOAA-20 เป็นต้น ลักษณะการทำงานในการตรวจวัดรังสีความร้อนก็คือ ดาวเทียมจะตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ ซึ่งเป็นจุดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็จะประมวลผลและแสดงผลเป็นจุดที่มีค่าความร้อนสูงในพื้นที่ต่าง ๆ บนแผนที่ ซึ่งส่วนมากค่าความร้อนที่ตรวจพบจะมาจากไฟ

 

2. จุดความร้อน (Hotspot) ที่ตรวจพบบอกอะไรได้บ้าง

 

สาเหตุของการเกิดจุดความร้อน (Hotspot) มักจะเกิดจากสาเหตุหลักเหล่านี้

 

- ไฟป่า: จุดความร้อนที่เกิดจากไฟป่าธรรมชาติ อย่างอุณหภูมิที่สูงขึ้น ความชื้นต่ำ ทำให้อากาศร้อนจัดจนเกิดเชื้อเพลิงสะสม รวมถึงไฟป่าจากการกระทำของมนุษย์ เช่น เผาหาของป่า เผาล่าสัตว์ ลักลอบเผาป่าทำเกษตรกรรม ลักลอบค้ายาง ความขัดแย้งในพื้นที่ เป็นต้น

 

- เกษตรกรรม: จุดความร้อนที่เกิดจากการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เผาเตรียมดินเพาะปลูก เผากำจัดวัชพืช การเผาตอซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว รวมถึงขยะอินทรีย์ที่ทับถมกันจนเกิดไฟไหม้ได้ในพื้นที่เกษตรกรรม

 

- ชุมชน: จุดความร้อนที่เกิดจากการเผาขยะมูลฝอย เผาเพื่อกำจัดสิ่งปฏิกูล เช่น เผาใบไม้ เศษวัสดุเหลือใช้ รวมถึงการทิ้งบุหรี่หรือวัสดุไวไฟด้วย

 

 

3. ผลกระทบจากพื้นที่ที่มีจุดความร้อน (Hotspot) สูง

 

เมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดค่าจุดความร้อน (Hotspot) สูงกันแล้ว มาดูผลกระทบจากพื้นที่ที่มีจุดความร้อน (Hotspot) สูงกันว่ามีอะไรบ้าง

 

- ฝุ่น PM 2.5: เมื่อตรวจพบจุดความร้อน (Hotspot) ซึ่งมาจากการเผาไหม้ ก็จะนำไปสู่ฝุ่นมลพิษอย่าง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของมนุษย์ได้

 

- สิ่งแวดล้อม: แน่นอนว่าเมื่อเกิดการเผาไหม้ โดยเฉพาะไฟป่า ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต่าง ๆ ได้

 

- การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ: ผลที่ตามมาจากการเผาไหม้ คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ที่เราเรียกกันบ่อย ๆ ว่า โลกร้อน หรือโลกเดือด นั่นเอง

 

- ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน: เมื่อเกิดไฟป่า ไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ทั้งทัศนวิสัยไม่ดีในการขับขี่ เขม่าควัน และฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลถึงระบบหายใจของประชาชนในพื้นที่ได้ อีกทั้งยังเสี่ยงไฟลามไหม้บ้านเรือนและพื้นที่ประกอบเกษตรกรรมของประชาชนด้วย

 

- ภัยพิบัติทางธรรมชาติ: การเกิดไฟป่าย่อมทำลายระบบนิเวศตามที่บอกไป ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย สัตว์ป่าไร้ที่อยู่ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติตามมา เช่น อุทกภัย ดินถล่ม น้ำป่า เป็นต้น

 

4. ประโยชน์ของการทำแบบจำลองจากจุดความร้อน (Hotspot) 

 

ประโยชน์ของจุดความร้อน (Hotspot) ที่ไทยนำมาใช้กันบ่อย ๆ ก็คือการสร้าง Location Intelligence ด้วยการสร้างแบบจำลองคาดการณ์ความเสี่ยงของพื้นที่ที่จะเกิดไฟป่าและทิศทางที่จะเกิดไฟป่า การประเมินสถานการณ์ไฟ การวางแผนดับไฟและป้องกันไฟป่า เป็นต้น

 

- การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟป่าที่แม่นยำล่วงหน้า 7 วัน

 

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA นำ Big Data ในหลากหลายชั้นและที่เกี่ยวข้องกัน มาคาดการณ์ความเสี่ยงของพื้นที่ที่จะเกิดไฟป่าได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น

1. จุดความร้อน (Hotspot สะสมย้อนหลัง 10 ปี)

2. จุดความร้อนสะสมปัจจุบันและย้อนหลัง 7 วัน

3. ดัชนีความแตกต่างของความชื้น (NDWI) ย้อนหลัง 7 วัน

4. ความถี่พื้นที่เผาไหม้ ปี พ.ศ. 2553- 2558 (LANDSAT-5, LANDSAT-8)

5. ประเภทการใช้ที่ดิน เช่น ป่าผลัดใบ ป่าไม่ผลัดใบ พื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำ ฯลฯ

6. ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นสัมพัทธ์

 

โดยจะนำข้อมูลเชิงพื้นที่เหล่านี้มาวิเคราะห์และประมวลผลด้วยการประเมินตามแบบจำลองคณิตศาสตร์ จากโปรแกรมระบบภูมิสารสนเทศสร้างแบบจำลองด้วย Model-Builder เพื่อนำไปสู่การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟป่าที่แม่นยำล่วงหน้า 7 วัน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

- พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าน้อย 

- พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าปานกลาง 

- พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ามาก

 

สำหรับผลที่ได้จากการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงด้วยวิธีข้างต้น ทำให้ทราบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจเกิดไฟป่าในช่วงเวลานั้น และยังใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนเจ้าหน้าที่ระดับบริหารและเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการ รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้วางแผนการตัดสินใจและบริหารจัดการในพื้นที่ เพื่อช่วยลดความรุนแรงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

 

-ประเมินสถานการณ์และควบคุมไฟป่า

 

นอกจาก GISTDA จะนำมาใช้ในการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงเกิดไฟป่าล่วงหน้า 7 วันแล้ว กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็ได้นำข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) มาใช้ในงานประเมินสถานการณ์และควบคุมไฟป่าด้วย โดยรับข้อมูล Hotspot รายวันล่าสุดที่ผ่านประเทศไทย จากการตรวจวัดด้วย MODIS บนดาวเทียม Terra และ Aqua มาประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ว่าจุดความร้อน (Hotspot) ที่พบค่าสูงอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จำนวนกี่จุด อยู่พิกัดใด และอยู่นอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์จำนวนกี่จุด หลังจากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังสำนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์สาขาทุกแห่ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนงานประเมินสถานการณ์และข้อมูลการตรวจหาไฟภาคพื้นดิน รวมถึงใช้ตรวจสอบการดับไฟในพื้นที่จริงด้วย

 

สำหรับใครที่อยากเช็กว่าวันนี้พื้นที่ใดในประเทศไทยมีจุดความร้อน (Hotspot) สูงผิดปกติก็สามารถเข้าไปสำรวจได้หลากหลายช่องทาง เช่น ภาพแสดงจุดความร้อนรายวันของ GISTDA แผนที่จำลองแสดงสถานการณ์จุดความร้อนหรือ PM 2.5 ของกรมป่าไม้ รวมถึงแผนที่แสดงจุดความร้อนซึ่งมีโอกาสเกิดไฟไหม้ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ:

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=590896513076889&id=100064696360794&rdid=YfB5J0sgUS4l6xo6

https://www.gistda.or.th/more_news.php?c_id=579&page=4

https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=3517&lang=TH

https://www.dnp.go.th/forestfire/hotspot/hotspot.htm

Loading...